เพราะว่ามุสลิมทุกคนมีเป็นคนที่พระเจ้าทรงสร้างและพระองค์ทรงมองพวกเขาด้วยความรักเช่นเดียวกันกับเรา ดังนั้นการที่มีท่าทีถูกต้องต่อชาวมุสลิมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
มุสลิมทุกคนเป็นคนที่พระเจ้ารักและเป็นคนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อเขา และนี่เป็นคำถามว่าทำไมเราต้องอธิษฐานเผื่อพวกเขา
เพราะว่าพระโลหิตของพระเยซูหลั่งออกเพื่อพวกเขา
“พระองค์ทรงเป็น… เพราะพระองค์ถูกปลงพระชนม์และทรงไถ่คนด้วยพระโลหิตเพื่อถวายพระเจ้า คือคนจากทุกชนเผ่า ทุกภาษา ทุกชนชาติและทุกประชาชาติ” (วิวรณ์ 5:9)
อะไรคือสิ่งที่หยุดยั้งเรา?
คนส่วนใหญ่จะไม่อธิษฐานเผื่อมุสลิมเพราะขาดความเข้าใจ และมีอคติบางอย่าง ดังนั้นจึงอาจทำให้เราเหมารวมว่ามุสลิมทุกคนเป็นเหมือนกันหมด
บ่อยครั้งเราละเลยที่จะอธิษฐานเพราะว่า “อคติหรือความกลัว” ของเราเอง ดังนั้นให้เราขอพระเจ้าเติมใจเราด้วยความรักและให้เราเห็นใจพวกเขา เราต้องอธิษฐานด้วยความเชื่อและมั่นใจว่าพระเจ้าจะทรงได้ยินเราและพระองค์กำลังขับเคลื่อนคำตอบในการตอบคำอธิษฐานของเราอยู่ (ยอห์น 14:12-14)
พระเจ้าปรารถนาความสัมพันธ์
ชาวมุสลิมเชื่อในพระพระเจ้าองค์เดียวผู้ทรงอำนาจสูงสุด เหมือนกับคริสเตียนและชาวยิวที่พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างและเป็นนิรันดร์ มุสลิมเชื่อว่ามนุษย์ไม่สามารถรู้จักและมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้า ตามหลักศาสนาอิสลาม พระเจ้าแยกพระองค์เองออกจากมนุษย์ ดังนั้นเราจึงต้องอธิษฐานที่มุสลิมจะได้รับการเปิดเผยพระลักษณะของพระเจ้าอย่างครบถ้วนและขอให้พวกเขามีความต้องการที่จะมีความสัมพันธ์กับพระองค์
โลกทัศน์ของมุสลิมได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งที่เหนือธรรมชาติและวิญญาณที่รู้จักกันในชื่อของ “ญิน” ซึ่งบ่อยครั้งจะปรากฏตัวในรูปแบบของการเจ็บป่วยหรือเรื่องเคราะห์ร้ายซึ่งทำให้มุสลิม “กลัว” เป็นอย่างมาก
ความกลัวนี้ทำให้มุสลิมต้องการการช่วยเหลือจากพระเยซู ดังนั้นเราจึงต้องอธิษฐานขอต่อพระเยซูเพื่อมุสลิมจะพ้นจากความกลัว (1 ยอห์น 4:18)
ไม่ใช่ทาสแต่เป็นลูกของพระเจ้า
อิสลามแปลว่า “การยอมจำนน” มุสลิมจึงได้นำแนวคิดนี้เชื่อมโยงกับตนเองในฐานะที่เป็น “ผู้รับใช้หรือทาส” ของพระเจ้า ซึ่งแตกต่างกับแนวคิดของคริสเตียนที่ถูกสอนจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
คริสเตียนเชื่อว่าโดยทางพระเยซูเราไม่ใช่ทาสแต่เป็นลูกชาย ลูกสาวของพระเจ้า (กาลาเทีย 4:7) แต่…ความคิดนี้เป็นความคิดที่แปลกมากสำหรับมุสลิม เราต้องอธิษฐานให้มุสลิมเข้าใจถึงความปรารถนาของพระเจ้าที่ต้องการจะมีความสัมพันธ์กับเราเหมือนเป็นลูกของพระองค์ ไม่ใช่ทาส (มัทธิว 18:3)
เรื่องของพระคุณ
หลักอิสลามสอนไว้ว่า ใครก็ตามจะเข้าไปสวรรค์ได้นั้น เขาหรือเธอต้องทำดีมากกว่าทำชั่ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีการรับประกัน นี่เป็นสิ่งยากสำหรับมุสลิมที่จะเข้าใจเรื่องพระคุณของพระเจ้าตามที่อธิบายไว้ในเอเฟซัส 2:89 นอกจากนั้นแนวคิดเรื่องการกลับใจใหม่และการอภัยโทษก็ถูกบิดเบือนไป
พระคัมภีร์สอนไว้ว่า “ทุกคนต้องถ่อมใจและการกลับใจใหม่ถึงจะเข้าไปยังสวรรค์ได้” (1 เปโตร 5:6) และถ้าเราไม่ให้อภัยคนอื่น พระเจ้าก็ไม่สามารถให้อภัยเราได้ (มัทธิว6:14-15) ดังนั้นเราต้องอธิษฐานให้มุสลิมที่จะเรียนรู้ถึงการกลับใจใหม่และมีประสบการณ์กับพระคุณและการอภัยโทษอย่างแท้จริง
มุสลิมมากมายกำลังหันกลับมาหาพระคริสต์
ดร. ดาวิด การ์ริสัน ผู้ทำพันธกิจการประกาศอย่างทวีคูณท่ามกลางชาวมุสลิม ได้กล่าวว่า...
"เรากำลังอยู่ในยุคที่ชาวมุสลิมได้กลับใจมาเชื่อในพระเยซู มุสลิมที่กลับใจในยุคนี้มีมากกว่า 14 ศตวรรษรวมกันเสียอีก มีกระแสการประกาศและสร้างสาวกอย่างทวีคูณ (movement) ของชาวมุสลิมเกิดขึ้นมากมายในช่วง 2-3 ทศวรรษ ที่ผ่านมา"
ดังนั้น อย่าดูถูกงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อคุณอธิษฐานเผื่อชาวมุสลิม ขอพระเจ้าทรงสอนว่าคุณควรจะอธิษฐานเผื่อชาวมุสลิมอย่างไร (โรม 8:26) และสัมผัสถึงพระทัยของพระองค์ มีชาวมุสลิมจำนวนมากที่หันมาติดตามพระคริสต์เพราะเหตุการณ์ที่เหนือธรรมชาติเช่น บางคนฝันเห็นพระเยซู หรือได้รับนิมิตจากพระเยซู มีแค่พระเจ้าเท่านั้นที่จะเป็นผู้ที่สามารถเปิดดวงตาที่มืดบอดและทำให้ใจอ่อนลงได้ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำให้มนุษย์รู้แจ้งถึงความบาปและสร้างมีชีวิตใหม่ให้กับเราได้ (ยอห์น 16:8)
การกระทำเช่นนี้เป็นการดี และเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระองค์ทรงประสงค์ให้ทุกคนได้รับความรอดและรู้ความจริง (1 ทิโมธี 2:3-4)